ส่องโอกาสธุรกิจใหม่ปี 2019 จาก 7 เทรนด์ผู้บริโภคในอีก 10 ปีข้างหน้า
ส่องโอกาสธุรกิจใหม่ปี 2019 จาก 7 เทรนด์ผู้บริโภคในอีก 10 ปีข้างหน้า
“Think outside the box, Drink inside the box”
มาเปิดกล่องความคิดสู่มุมมองนอกกรอบของอนาคตทางธุรกิจมาเตรียมตัวไปพร้อมกันกับเราที่นี่ได้เลยค่ะ
1. เรื่องง่าย ๆ ต้องมาก่อน(EASY LIVING)
แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุดในยุคนี้ไม่ใช่แค่อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย แต่คือ “เวลา”
เพราะเวลาเป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีวิตและทุกอย่างก็ต้องใช้เวลา ยิ่งในยุคที่ผู้บริโภคเริ่มใช้เวลา
มากขึ้นในการทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ จนทำให้เวลาว่างนั้นน้อยลง
ในยุคที่มีความตึงเครียดกับการใช้เวลาเช่นนี้ ผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่นเวลาของผู้บริโภคได้มากที่สุด
จึงเป็นคำตอบสำหรับทุกอย่าง เพราะ 49% ของผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น 39%
พร้อมที่จะจ่ายเพื่อซื้อเวลากับความสะดวกสบาย 33% ของผู้บริโภคเลือกอาหารแบบพร้อมทานเพราะ
ไม่มีเวลามากพอสำหรับการทำอาหาร และมากถึง 73% เลือกที่จะทานของว่างเพิ่มหรือทดแทนมื้ออาหาร
เพราะต้องการความรวดเร็ว จุดนี้จะทำให้เราเห็นว่าสินค้าที่มีขนาดกำลังพอดีพกพาสะดวกจะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากที่สุด
2. สุขภาพสร้างสมดุล (HEALTHY BALANCE)
Work life balance คือคำที่เราได้ยินบ่อยจนคุ้นหู เพราะถึงแม้ว่าผู้บริโภคจะต้องทำงานหนักหรือใช้ชีวิต
อย่างสนุกสุดเหวี่ยงแต่เรื่องสุขภาพก็ไม่เคยมองข้าม ไม่ใช่แค่เรื่องของผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยตอบโจทย์นี้
แต่ต้องเป็นองค์ประกอบของทุกอย่างที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความสมดุลทั้งทางด้านการใช้ชีวิต Lifestyle และด้านสุขภาพนั่นเอง
โดย 88% ของผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินมากขึ้นเพื่ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ 31% ของผู้บริโภคอยากที่จะทานอาหาร
ที่มีการรับรองด้านสุขภาพโดยองค์กรต่าง ๆ เพราะต้องการความมั่นใจ และ 35% ของผู้บริโภค อ่านข้อมูลและ
ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่เขียนไว้ที่สินค้าก่อนการตัดสินใจซื้อ ไม่แปลกที่สินค้าเพื่อสุขภาพจะเป็นที่สนใจและ
นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะผู้บริโภคนั้นต้องการความง่าย สะดวก และดีต่อสุขภาพควบคู่กันไป
3. โลก Safe เรา Safe (ME, US & OUR PLANET)
ผู้บริโภคยังคงมองว่าการช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ไกลตัว และเป็นหน้าที่ของผู้ผลิตที่จะต้องมีความรับผิดชอบ
ในเรื่องนี้มากกว่า แต่แน่นอนว่า ผู้บริโภคเองก็พร้อมที่จะสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่บอกว่าดีต่อโลกและมีส่วนในการทำ
ให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นด้วย เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีความอ่อนไหวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะมีความคิดว่า ถ้าโลก
ไม่มีมลภาวะ เท่ากับว่าเราจะมีสุขภาพและชีวิตในการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทำให้เกิดความต้องการสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
66% ของผู้บริโภคยอมที่จะจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้นเพื่อสินค้าที่มีการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน 58% เชื่อมั่นในสินค้าที่
บอกว่าสามารถนำไปรีไซเคิลได้ หลักการในการตัดสินใจซื้อสินค้านั้นจะคำนึงถึงส่วนประกอบจนถึงบรรจุภัณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น
อาหารหนึ่งมื้อ วัตถุดิบที่ใช้ต้องผลิตมาจากธรรมชาติ ไม่มีสารปรุงแต่ง บรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ลดการใช้เคมี
หรือใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถทดแทนและนำไปรีไซเคิลได้ เป็นต้น
4. พร้อมเปย์ถ้าถูกใจ (NEW EXPERIENCE)
ผู้บริโภคเริ่มปรับพฤติกรรมในการจับจ่ายสินค้าเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของตนเอง เมื่อพบกับสินค้าที่โดนใจ ก็พร้อมที่จะจ่ายเพิ่มมากขึ้น
สินค้ามีความแปลกใหม่ มีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกแบบแล้วใช้งานได้จริงๆ ไม่ซ้ำใคร เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างความสนใจให้กับผู้บริโภค
เพราะผู้บริโภคเริ่มที่จะค้นหาประสบการณ์ทั้งทางด้านอารมณ์ ประสบการณ์ด้านเทคโนโลยี เพิ่มเข้ามาในชีวิตมากกว่ามองแค่ตัวสินค้าเพียงอย่างเดียว
ความแปลกใหม่ ความลำเทำให้ผู้บริโภคเปิดรับ และจดจำแบรนด์ได้ดีกว่า โดย 27% ของผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อเพิ่มประสบการณ์ของตัวเอง
กับสินค้ามากกว่าการได้รับสินค้านั้นมาเพียงอย่างเดียว
5. ความจริงใจนั้นยั่งยืนกว่า (HONESTLY SPEAKING)
ความไว้วางใจจากผู้บริโภคนั้นเป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องการ ปัจจัยหลักที่ทำให้เราได้ความรู้สึกนี้มาก็คือความจริงใจและซื่อสัตย์
ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่า ผู้บริโภคเริ่มมีการอ่านรายละเอียดต่าง ๆ ที่เขียนไว้บนตัวสินค้าเพิ่มมากขึ้น ในจุดนี้เองที่จะทำให้
เราสามารถแสดงความจริงใจของแบรนด์ถึงผู้บริโภคได้ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เลือกสรรวัตถุในการทำบรรจุภัณฑ์
หรือจะเป็นการเขียนข้อมูลอย่างเป็นจริง การออกแบบตัวอักษรให้เหมือนกับลายมือทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความจริงใจ และความใส่ใจ
การส่งข้อความที่ให้ความรู้สึกเฉพาะเจาะจงที่ผู้บริโภคสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดย 59% ของผู้บริโภคบอกว่าจะแนะนำสินค้า
และบริการของแบรนด์ที่รู้สึกไว้ใจได้ให้กับเพื่อนและคนในครอบครัวอีกด้วย
Leave a Reply